ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
จุดประสงค์ของการเรียน
1. เกิดความรู้ความเข้าใจในแนวคิดเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะได้อย่างกว้างขวาง
2. สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายสาธารณะและการดำเนินงานของรัฐบาลได้
3. สามารถวิเคราะห์ได้ว่าใครเป็นผู้กำหนดนโยบายสาธารณะและกำหนดโดยใช้หลักเกณฑ์ใด
4. สามารถอธิบายขั้นตอน/กระบวนการต่างๆของนโยบายสาธารณะได้
5. ทำให้ทราบประสิทธิภาพและประสิทธิผลของสถาบันทางการเมืองและรัฐบาล
6. ทำให้เรียนรู้วิธีการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล
ความสำคัญในการศึกษานโยบายสาธารณะ
1. พิจารณาจากพัฒนาการในการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์โดยดูจากพาราไดม์ทางรัฐประศาสนศาสตร์ ตามทัศนะของ Nicholas Henry
พาราไดม์ที่ 1
- การเมืองและการบริหารแยกออกจากกัน (The Politics / Administration Dichotomy)
- ฝ่ายการเมือง : กำหนดนโยบาย
- ฝ่ายบริหาร : นำนโยบายไปปฏิบัติให้สำเร็จ
พาราไดม์ที่ 2
- หลักการบริหาร (The Principles of Administration)
- POSDCORB
พาราไดม์ที่ 3
- รัฐประศาสนศาสตร์คือรัฐศาสตร์ (การบริหารคือการเมือง) (Public Administration as Political Science)
- ไม่สามารถแยกการเมืองและ การบริหารออกจากกันได้โดยเด็ดขาด
พาราไดม์ที่ 4
รัฐประศาสนศาสตร์คือการจัดการ
- ( Public Administration as Management)
พาราไดม์ที่ 5
- รัฐประศาสนศาสตร์คือรัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration as Public Administration) => New Public Administration
- Public Policy เป็นสาขาวิชาที่ได้รับความสนใจ
ความหมาย
- กิจกรรม/แนวทาง/หนทางในการกระทำของรัฐบาล
- แนวทางเลือกตัดสินใจของรัฐบาล
สาเหตุที่ต้องศึกษานโยบายสาธารณะ
- เพื่อสร้างความเข้าใจแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Understanding)
- เพื่อเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา (Problem Solving)
- เพื่อเสนอแนะนโยบาย (Policy Recommendations)
ปัจจัยและองค์ประกอบของนโยบาย
- ปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐาน
- ปัจจัยที่เป็นสภาพแวดล้อม
ปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐาน
- ผลประโยชน์
- ผู้กำหนดนโยบาย
- ข้อมูลเอกสารต่างๆ
ปัจจัยที่เป็นสภาพแวดล้อม
- ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
- ปัจจัยทางการเมือง
- ปัจจัยทางสังคม
- ปัจจัยทางภูมิศาสตร์/ประวัติศาสตร์
- ปัจจัยทางด้านเทคโนโลยี
ประเภทของนโยบายสาธารณะ
- จำแนกตามเนื้อหาสาระ
- จำแนกตามมิติเวลา
- จำแนกตามสถาบัน
- จำแนกตามการดำเนินงานของรัฐบาล
- จำแนกในเชิงวิเคราะห์
ผู้กำหนดนโยบาย
Official Policy – makers
- primary policy – makers
- supplementary policy – makers
Unofficial Policy – makers
แนวทางการศึกษานโยบายสาธารณะ
Descriptive Approach
Prescriptive Approach
Descriptive Approach
knowledge of policy and the policy process.
ศึกษาเกี่ยวกับ
policy content
policy process
policy determinants & policy outputs
policy outcomes & impacts
Prescriptive Approach
knowledge in policy process
how policies should be made
ศึกษาเกี่ยวกับ
information for policy making
policy advocacy
Models for Policy Analysis
Thomas R. Dye
เป็นตัวแบบที่ง่ายและชัดเจนในการทำความเข้าใจการเมืองและนโยบายสาธารณะ
Models for Policy Analysis
ช่วยให้เห็นฝ่ายต่างๆที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง
ง่ายต่อการทำความเข้าใจนโยบายสาธารณะ
ช่วยให้เห็นฝ่ายต่างๆที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง
ง่ายต่อการทำความเข้าใจนโยบายสาธารณะ
ให้คำอธิบายเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะได้ชัดเจน
ชี้ให้เห็นปัญหาสำคัญของนโยบายสาธารณะ
Institutional Model
การนำนโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation)
- สมรรถนะของหน่วยงานที่รับผิดชอบนโยบาย
การประเมินผลนโยบาย (Policy Evaluation)
- ตรวจสอบการดำเนินนโยบาย
- เป็นข้อมูลย้อนกลับ
- เป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจ
การคงสภาพ การทดแทน และการสิ้นสุดนโยบาย (Policy maintenance , succession and termination)
Management Information System
ผศ. ดร. ชนวัฒน์ ศรีสอ้าน
คณบดี คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ
ศูนย์ สาทรธานี, ม. รังสิต
Thomas หรือ Tom Peters ที่ปรึกษาด้านการจัดการที่มีชื่อเสียงชาวสหรัฐอเมริกากล่าว่า ผู้บริหารที่เก่งยังทำผิดอยู่บ่อยครั้ง การตัดสินใจที่ดีจะต้องอาศัยส่วนประกอบหลายอย่าง เช่น การฝึกฝน ประสบการณ์ และวิสัยทัศน์ของผู้ตัดสินใจ ตลอดจนข้อมูลที่นำมาประกอบการตัดสินใจในสถานการณ์นั้น ๆ
No information or not enough information for making decision
ความสำคัญ
การตัดสินใจของผู้บริหารมีผลต่อประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ความมั่นคง และพัฒนาการขององค์การ เนื่องจากผู้บริหารจะต้องตัดสินใจจัดสรรทรัพยากรขององค์การที่มีอยู่อย่างจำกัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้งาน ตลอดจนต้องตัดสินใจแก้ปัญหาความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอกองค์การ ซึ่งเราจะเห็นความสำคัญได้จากงานวิจัยด้านการจัดการตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมาที่ให้ความสนใจศึกษาเกี่ยวกับการตัดสินใจของผู้บริหารกับการดำเนินงานหรือการดำรงอยู่ขององค์การ
ทฤษฎีการจัดการกับการตัดสินใจ
Henri Fayol ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส ได้กล่าวถึงหน้าที่หลักในการจัดการ (management functions) ไว้ 5 ประการด้วยกันคือการวางแผน (planning) การจัดองค์การ (organizing) การประสานงาน (coordinating) การตัดสินใจ (deciding) และการควบคุม (controlling)
ที่ Mintzberg (ค.ศ. 1971) ได้กล่าวถึงบทบาททางการจัดการ (manegerial roles) ว่าเป็นกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผู้จัดการสมควรจะกระทำขณะปฏิบัติหน้าที่ภายในองค์การ โดยมีกิจกรรมเหล่านี้สามารถถูกจัดออกเป็น 3 กลุ่มคือ บทบาทระหว่างบุคคล (interpersonal roles) บทบาททางสารสนเทศ (informational roles) และบทบาททางการตัดสินใจ (decisional roles)
กระบวนการในการตัดสินใจ
ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสื่อสารและโทรคมนาคมทำให้ข้อมูลข่าวสารสามารถเดินทางได้อย่างคล่องตัวและเป็นอิสระมากขึ้น ส่งผลให้องค์การต่าง ๆ สามารถรับ-ส่งข้อมูลข่าวสารและข้อสนเทศได้ในระยะเวลาที่สั้นลง โดยข้อมูลมีความชัดเจน ถูกต้อง และสะดวกขึ้นด้วยเหตุนี้ ทำให้ธุรกิจในปัจจุบันมีความคล่องตัวในการดำเนินงานสูงขึ้นจนหลายคนถึงกับกล่าวว่าโลกธุรกิจในปัจจุบันหมุนเร็วกว่าโลกธุรกิจในอดีตมาก ทำให้การตัดสินใจในโอกาสหรือปัญหาทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจะต้องการทำภายใต้ข้อจำกัดทางสารสนเทศภายในระยะเวลาที่เหมาะสม มีหลายครั้งที่ผู้บริหารจะต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วภายใต้ความกดดันของสถานการณ์ เช่น การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน การนัดหยุดงาน หรือการต่อต้านจากสังคม เป็นต้น จึงนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้บริหารที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตที่จะต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ตลอดจนต้องพยายามฝึกฝนตนเองโดยพัฒนาทักษะและสั่งสมประสบการณ์ในการตัดสินใจ เพื่อที่จะสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจเลือกทางเลือกต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ระดับของการตัดสินใจภายในองค์การ
ปกติเราสามารถแบ่งระดับชั้นของผู้บริหาร (management levels) ในลักษณะเป็นลำดับขั้น (hierachy) ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมพีระมิด (pyramid) ตามหลักการบริหารที่ใช้กันอยู่ทั่วไปซึ่งสามารถประยุกต์กับการจำแนกระดับของการตัดสินใจของผู้บริหารภายในองค์การ (levels of decision making) ได้เป็น 3 ระดับดังต่อไปนี้
ระดับ 1. การตัดสินใจระดับกลยุทธ์ (strategic decision making) เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงในองค์การ ซึ่งจะให้ความสนใจต่ออนาคตหรือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น อันได้แก่ การสร้างวิสัยทัศน์องค์การ การกำหนดนโยบายและเป้าหมายระยะยาว การลงทุนในธุรกิจใหม่ การขยายโรงงาน เป็นต้น การตัดสินใจระดับกลยุทธ์มักจะเกี่ยวข้องกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลจากทั้งภายนอกและภายในองค์การ ตลอดจนประสบการณ์ของผู้บริหารประกอบการพิจารณา
กับการจัดการ เพื่อให้งานต่าง ๆ เป็นไปตามนโยบายของผู้บริหารระดับสูง เช่น การกำหนดยุทธวิธีทางการตลาด การตัดสินใจในแผนการเงินระยะกลาง หรือการแก้ไขปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหวัง
ระดับ 2. การตัดสินใจระดับยุทธวิธี (tactical decision making) เป็นหน้าที่ของผู้บริหารระดับกลาง โดยที่การตัดสินใจในระดับนี้มักจะเกี่ยวข้องเป็นต้น
ระดับ 3. การตัดสินใจระดับปฏิบัติการ (operational decision making) หัวหน้างานระดับต้นมักจะต้องเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในระดับนี้ ซึ่งมักจะเป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเฉพาะด้านที่มักจะเป็นงานประจำที่มีขั้นตอนซ้ำ ๆ และได้รับการกำหนดไว้เป็นมาตรฐาน โดยที่หัวหน้างานจะพยายามควบคุมให้งานดำเนินไปตามแผนงานที่วางไว้ เช่น การมอบหมายงานให้พนักงานแต่ละคน การวางแผนควบคุมการผลิตระยะสั้น การวางแผนเบิกจ่ายวัสดุ และการดูแลยอดขายประจำวัน เป็นต้น
ระบบสารสนเทศกับการจัดการในระดับต่างๆ
เราจะเห็นว่าผู้จัดการในแต่ละระดับจะต้องตัดสินใจในปัญหาที่แตกต่างกัน โดยผู้บริหารระดับสูงต้องตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตขององค์การ ซึ่งยากต่อการพยากรณ์และทำความเข้าใจ ผู้จัดการระดับกลางจะเป็นผู้ถ่ายทอดความคิดและนโยบายของผู้บริหารระดับสูงลงสู่ระดับปฏิบัติการ โดยจัดทำแผนระยะยาวและควบคุมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาดำเนินงานตามแนวทางที่กำหนด ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่สามารถกระทำได้ ขณะที่หัวหน้างานระดับปฏิบัติการจะตัดสินใจในปัญหาประจำวันของหน่วยงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยภายนอกไม่มากนัก และมีขั้นตอนการตัดสินใจที่ชัดเจนและไม่ซับซ้อนอย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของ